Monday, October 08, 2007

ซาวเสียงตั้งชมรมค้าปลีกมือถือ +TWZ-เอ็มลิ้งค์-ดีพีซี-ทีจีโฟน พร้อมร่วมก๊วน/เจมาร์ทเตือนบทบาทผู้ประกอบการหลากหลาย ต้องชัดเจน

ซาวเสียงตั้งชมรมค้าปลีกมือถือ +TWZ-เอ็มลิ้งค์-ดีพีซี-ทีจีโฟน
พร้อมร่วมก๊วน/เจมาร์ทเตือนบทบาทผู้ประกอบการหลากหลาย ต้องชัดเจน
ฐานเศรษฐกิจ (7-10 ตุลาคม 2550)

กลุ่มผู้ค้าปลีกมือถือ หยิบบทเรียนกรณีซัมซุงฯ เตรียมรวมตัวตั้งชมรมฯ เสริมอำนาจต่อรองผู้ผลิตเอาเปรียบทางธุรกิจ เชื่อช่วยสร้างมาตรฐานธุรกิจ ลดตัดราคา ยันไม่มีฮั๊วราคาผู้บริโภคได้รับสินค้า/บริการที่ดี งานนี้บิ๊กเนม "ทีดับบลิวแซด-เอ็มลิงค์-ดีพีซี-ทีจีโฟน" ประกาศพร้อมรวมก๊วน ฟาก "เจมาร์ท" เตือนผู้ค้าในตลาดเยอะ ควบคุมยาก ย้ำต้องกำหนดบทบาทชมรมให้ชัด นายพุทธชาติ รังคสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งรายใหญ่และรายย่อยไม่น้อยกว่า 30 ราย มีแนวคิดในการจัดตั้งชมรมของผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิทักษ์ความเป็นธรรมให้กับผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการตัดราคา, สินค้าผิดกฎหมาย หรือแม้กระทั่งการกำหนดมาตรฐานของสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ อย่างไรก็ดีแนวคิดนี้ยังอยู่ในระหว่างการพูดคุย ยังไม่มีการตั้งชื่อชมรมอย่างเป็นการ ซึ่งคาดว่าพร้อมจะเปิดตัวชมรมดังกล่าวได้ในเร็วๆนี้
"ขณะนี้มีผู้จัดจำหน่ายหลายรายให้ความสนใจแนวคิดการจัดตั้งชมรม อย่างล่าสุดได้พูดคุยกับอาจารย์สรรค์ชัย (นายสรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ดิจิตอลโฟน หรือดีพีซี ผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ภายใต้สัญลักษณ์ของ โมบาย ฟอร์ม แอดวานซ์ (เอ็มเอฟเอ) บริษัทในเครือบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)(บมจ.)หรือเอไอเอส) อาจารย์ก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้"
นายพลณรงค์ วัฒนโพธิธร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อีกราย กล่าวเช่นกันว่า แนวคิดในการรวมตัวจัดตั้งชมรมของผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะแต่ละวงการส่วนใหญ่ก็มีการจัดตั้งชมรมเพื่อแบ่งปันข้อมูล หรือช่วยสอดส่องดูแลกันอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีการจัดตั้งชมรมผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาจริง บริษัทฯก็สนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกเช่นเดียวกัน เพราะถือเป็นผลประโยชน์ของผู้ประกอบการเอง
"ใมอนาคตหากเกิดปัญหาใดขึ้นมา หรือมีผู้ประกอบการรายใดถูกหลอก ก็จะทำให้เหตุการณ์นั้นไม่เกิดซ้ำๆขึ้นอีก เพราะจะมีชมรมเข้ามาช่วยดูแลและร่วมกันแก้ไข"
ด้านนายไพโรจน์ ถาวรสภานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ที.จี.โฟนจำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งค้าปลีกและค้าส่งโดยมีร้านจำหน่ายสินค้าภายใต้ชื่อ TG PHONE กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยและพร้อมเข้าร่วมเป็นสมาชิก หากวัตถุประสงค์ของการตั้งชมรมนี้ขึ้นมา เพื่อตั้งใจจริงในการสานประโยชน์ในหลายๆเรื่องให้กับวงการค้าปลีกโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น การกำหนดมาตรฐานการค้า การแก้ปัญหาการตัดราคาด้วยการกำหนดราคามาตรฐานขั้นต่ำ เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการแต่ละรายต่างคนต่างทำธุรกิจของตนเอง และไม่มีการพูดคุยกันจึงทำให้เกิดปัญหาการตัดราคาขึ้นมา นอกจากนี้ยังช่วยในการดูแลคุณภาพของสินค้าและบริการได้อีกด้วย
"ผมเชื่อว่า การตั้งชมรมนี้ จะไม่ทำให้เกิดการฮั๊วราคา หรือขายสินค้าแพงอย่างแน่นอน เพราะตลาดโทรศัพท์มือถือเป็นตลาดเปิดเสรี มีทั้งผู้ค้ารายกลางและรายย่อยในตลาดหลายร้อยราย ดังนั้นหากสมาชิกในชมรมจะฮั๊วกันขายแพง ผู้ค้ารายกลางและรายย่อยที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็สามารถตัดราคาขายถูกกว่าได้อยู่ดี"
นอกจากนี้การจัดตั้งชมรมยังช่วยกำหนดคุณภาพของสินค้าและบริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในตลาดอีกด้วย ส่งผลให้ผู้บริโภคทราบได้ว่าสินค้ามาตรฐานเป็นอย่างไร ถ้าร้านค้ารายใดขายสินค้าหรือบริการไม่ได้มาตรฐานลูกค้าก็สามารถเปรียบเทียบได้
ส่วนนายกิติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าการจัดตั้งชมรมผู้จัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะยังไม่ทราบวัตถุประสงค์และบทบาทที่ชัดเชน อย่างไรก็ตามหากจัดตั้งชมรมดังกล่าวขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ อุตสาหกรรมนี้มีผู้ค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งชมรมจะมีแนวทางในการควบคุมอย่างไร ทั้งต้องกำหนดวัตถุประสงค์และบทบาทให้ชัดเจน

ไอซีที'วางเป้าอีก 3 ปีข้างหน้า พัฒนาระบบไอทีให้สมบูรณ์แบบ

'ไอซีที'วางเป้าอีก 3 ปีข้างหน้า พัฒนาระบบไอทีให้สมบูรณ์แบบ
ฐานเศรษฐกิจ (7-10 ตุลาคม 2550)

"สือ ล้ออุทัย" เผยครบรอบ 5 ปี กระทรวงไอซีที ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายสารสนเทศ- พัฒนาบุคลกร –จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้านชุมชุนอีก 40 แห่งให้แล้วเสร็จภายในปี 51 พร้อมวางแผน งานหลัก 7 ด้านมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศไทยอีก 3 ปีข้างหน้า นายสือ ล้ออุทัย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงไอซีที ครบรอบ 5 ปี ในการสถาปนากระทรวงฯเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีได้ผลักดันให้มีการดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งงานออกเป็น 4 ด้าน คือ 1. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้าน ICT เช่น การปฏิรูประบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย การจัดตั้งโครงการ TKC ซึ่งเป็นศูนย์กลางความรู้และเครือข่าย ในการจัดการความรู้ด้านต่างๆของประเทศ โครงการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ,2. พัฒนาบุคลากรด้าน ICT โดยการจัดนิทรรศการแสดง ICT ระดับภูมิภาค หรือ Bangkok International ICT Expo โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ซึ่งขณะนี้กระทรวงได้เปิดศูนย์ไปแล้ว 20 แห่ง และมีเป้าหมายเพิ่มศูนย์อีก 40 แห่งทั่วประเทศในปี 2551 สำหรับโครงสร้างอันดับที่ 3. คือ พัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) เช่น การพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network:GIN) การจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC:1111) การจัดทำบัตรประชาชนอเนกประสงค์ (Smart Card) และ 4. ควบคุมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ไม่เหมาะสม โดยการจัดตั้งโครงการไซเบอร์แคร์ เกทคีปเปอร์ และเฮาส์คีปเปอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่เหมาะสมหรือผิดศีลธรรมตลอดทั้งความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้กระทรวงไอซีทียังมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม อาทิ การเปิดศูนยน้ำใจไอซีที ระดมความช่วยเหลือเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัย เป็นต้น นายสือฯ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "7 แผนงานหลักใน 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2551-2553) ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร" ซึ่งเน้นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดในการใช้บริการ ซึ่งมีแผนงานดังกล่าวประกอบด้วย 1) พัฒนาขีดความสามารถด้าน ICT มีเป้าหมายเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT เช่น การพัฒนาระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Network) เพื่อผลักดันให้เกิดระบบการบริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นรูปธรรมเป็นต้น 2) พัฒนาอุตสาหกรรม ICT มีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรม ICT ด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และด้านบริการ 3) พัฒนาบุคลากรด้าน ICT โดยจะส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรด้าน ICT เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ ICT แก่ประชาชนทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาสและคนพิการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ก้าวไปสู่สังคมแห่งภูมิปัญญา (Knowledge based society) 4) การพัฒนาระบบ e-Government มีเป้าหมาย ให้มีการจัดการและบริหารภาครัฐโดยใช้ ICT ให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการบริการไปสู่ประชาชน เช่น การเร่งดำเนินการบัตร Smart Card 5) พัฒนาระบบ e-Logistic มีเป้าหมาย พัฒนาและส่งเสริมการทำ ICT มาใช้ในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ 6) พัฒนากิจการโทรคมนาคม มีเป้าหมาย มุ่งเน้นการบริการกิจการโทรคมนาคมให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น เร่งรัดการดำเนินงานโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ7) พัฒนา ICT เพื่อความมั่นคง โดยจะนำ ICT มาใช้ในการเตือนภัยธรรมชาติและรักษาความมั่นคงของชาติ "อย่างไรก็ตาม กระทรวงไอซีทีมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตาม 7 แผนงานหลักดังกล่าว ให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และประเทศชาติต่อไป"

บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ฯ: ADVANC

บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ฯ: ADVANC
ฐานเศรษฐกิจ (7-10 ตุลาคม 2550)
ซื้อ:เป้าราคา 119 บ.

ADVANC ออกโปรโมชั่นใหม่ 4 โปรโมชั่นในเดือนตุลาคม แบ่งเป็นโปรโมชั่นพรีเพด 1 โปรโมชั่นและโปรโมชั่นโพสต์เพด 3 โปรโมชั่น ถือว่าเป็นการปรับเพิ่มอัตราค่าโทรสำหรับโปรโมชั่นทั้งระบบพรีเพดและโพสต์เพดในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อต่ำ การปรับเพิ่มอัตราค่าโทรจะส่งผลกระทบทางบวกกับรายได้เฉลี่ยต่อนาที (RPM) ในไตรมาส 4/50 เนื่องจากค่าโทรนาทีแรกของระบบพรีเพดปรับขึ้น 50% แต่คาดว่าจำนวนนาทีที่ใช้งาน (MOU) มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากปรับอัตราค่าโทรเพิ่มขึ้น ผลกระทบทางบวกของโปรโมชั่นใหม่ได้แก่ รายได้รวมเฉลี่ยต่อเลขหมาย (Blended ARPU) มีแนวโน้มลดลงในอัตราที่ลดลงในไตรมาส 4/50 เทียบกับ blended ARPU ที่ลดลงมีนัยสำคัญในครึ่งแรกของปี 2550 รายได้เฉลี่ยต่อนาทีที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะสามารถชดเชย MOU ที่ลดลงได้ระดับหนึ่ง สำหรับปัจจัยผลักดันผลการดำเนินงานในปี 2551 ได้แก่ การแข่งขันของสงครามราคาที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการทยอยปรับอัตราค่าโทรเพิ่มขึ้นของทั้งสามผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัว คาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 4/50 ซึ่งจะเพิ่มจำนวนนาทีการโทรต่อครั้ง ซึ่งพิจารณาได้จากสถิติในอดีตซึ่งอัตราการใช้งานของโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง รวมถึงได้รับผลบวกจากช่วงไฮซีซันในไตรมาสสี่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงในปี 2551 (จากหนี้เสียและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลง)จำนวนเลขหมายใหม่สุทธิ 2.5 ล้านเลขหมายในปี 2551 เมื่อเทียบกับ 5 ล้านเลขหมายในปี 2550 จำนวนเลขหมายใหม่ของอุตสาหกรรมคาดว่าจะชะลอตัวในปีหน้า แต่ถึงแม้ว่าจะชะลอตัว แต่คาดว่ากลุ่มลูกค้าใหม่ที่เข้าสู่ระบบถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงราคาในระดับต่ำ ส่งผลให้คาดว่าอัตราการออกจากระบบ (churns) ในปี 2551 มีแนวโน้มลดลงจากปี 2550 ยังคงแนะนำ "ซื้อ" สำหรับหุ้น ADVANC ที่ราคาเป้าหมายปี 2551 ที่ 119 บาท
ที่มา บล.บัวหลวง

คุมเข้มสต๊อกสินค้าแก้ปัญหาดัมพ์ราคา "ซัมซุง"ปรับแผนชูขายตรงร้านค้ามือถือ

คุมเข้มสต๊อกสินค้าแก้ปัญหาดัมพ์ราคา
"ซัมซุง"ปรับแผนชูขายตรงร้านค้ามือถือ
ประชาขาติธุรกิจ(8-10 ตุลาคม 2550)

"ไทยซัมซุง" ปรับโครงสร้างจัดจำหน่ายมือถือใหม่หลังแยกทางกับ "แซม คอร์ปอเรชั่น" หันใช้นโยบายขายตรงให้ดีลเลอร์และร้านค้าปลีก วางแผนลดสต๊อกสินค้า เพื่อแก้ปัญหาดัมพ์ราคาระบายสินค้า มั่นใจไตรมาสที่ 4 พลิกฟื้นยอดขายกลับมา ยอมรับขณะนี้ราคามือถือซัมซุงในตลาดป่วน เหตุดิสทริบิวเตอร์เก่าระบายสินค้าค้างสต๊อกนายควัง คี ปาร์ค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจภายหลังจากเกิดคดีฟ้องร้องกับบริษัท แซม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ว่า ทางซัมซุงได้ปรับโครงสร้างการกระจายเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์ มือถือด้วยการจำหน่ายสินค้าแก่ดีลเลอร์และร้านค้าปลีกโดยตรงแทนที่จะให้ซื้อผ่านดิสทริบิวเตอร์เหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยเพิ่มพนักงานขายเพื่อติดต่อกับดีลเลอร์มากขึ้น รวมทั้งขยายช่องทางจำหน่ายไปในช่องทางสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นรวมทั้งปรับนโยบายการจำหน่ายใหม่โดยเน้นการขายหน้าร้านเป็นหลักและพยายามให้มีการเก็บสต๊อกสินค้าให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตัดราคาเพื่อเร่งระบายสินค้าในอนาคต"สิ่งที่เราทำคือ พยายามให้ดีลเลอร์สต๊อกสินค้าจำนวนน้อยๆ เน้นสปีดในการขาย ขายได้เท่าไรก็สั่งมาสต๊อกเท่านั้น โดยที่จะใช้ระบบการส่งสินค้าให้เร็วขึ้น เมื่อมีสต๊อกน้อยก็จะไม่เกิดแรงกดดันให้เกิดการดัมพ์ราคาระบายสินค้า นอกจากนี้เรายังสนับสนุนในเรื่องของการตกแต่งหน้าร้านและการจัดวางสินค้าเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสและช่วยให้ดีลเลอร์ขายได้มากขึ้นด้วย" อย่างไรก็ตาม นายปาร์คยอมรับว่าโมเดลดังกล่าวทำให้คุมราคาสินค้าในตลาดได้ยากมากขึ้น สิ่งที่ซัมซุงทำได้ในตอนนี้คือการตั้งราคาขายส่งแก่ดีลเลอร์และร้านค้าปลีกในราคาเดียวกันหมด ส่วนราคาหน้าร้านอาจมีแตกต่างกันออกไปบ้าง ซึ่งจุดนี้ซัมซุงไม่สามารถควบคุมราคาได้ และตอนนี้ราคาเครื่องลูกข่ายซัมซุงในตลาดก็มีการปรับลดลงมาอีกเนื่องจากดิสทริบิวเตอร์รายเก่ายังมีเครื่องค้างอยู่ ทำให้ซัมซุงต้องปรับราคาในบางรุ่นตามเพื่อให้ราคาสินค้าในตลาดเป็นราคาเดียวกัน"ตลาดในเมืองไทยเป็นตลาดเปิดซึ่งเรากังวลมากในเรื่องของการตัดราคา ปีที่ผ่านมาเรามีดิสทริบิวเตอร์ 3 รายซึ่งมีการตัดราคากันสูงมาก ต้นปีเราเลยจัดโครงสร้างให้มีดิสทริบิวเตอร์รายเดียวเพื่อให้ควบคุมราคาได้ และทำให้ดีลเลอร์มีมาร์จิ้นที่ดี แต่ก็มีปัญหาด้านการกระจายสินค้า โดยมีสินค้าค้างในสต๊อกกว่า 200,000 เครื่อง ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก ขณะที่ทรูมูฟ เจมาร์ท หรือบลิสเทล ก็ต้องการที่จะซื้อผ่านเราโดยตรงแทนที่จะซื้อผ่านดิสทริบิวเตอร์ แล้วพอเราเปิดให้สามารถฯซื้อจากเราโดยตรงได้ทางดิสทริบิวเตอร์เลยไม่พอใจและมีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้นมา"แม้จะมีคดีความเกิดขึ้นและต้องปรับโครงสร้างการจำหน่ายใหม่แต่ซัมซุงตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสที่ 4 ว่าจะต้องเพิ่มขึ้น 16% จากเป้า 1 ล้านเครื่อง และเพิ่มขึ้น 4-5% ในแง่ของรายได้ เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 เกิดปัญหาการกระจายสินค้าและสินค้าค้างสต๊อกทำให้ยอดขายแย่มาก การปรับเป้าในไตรมาสที่ 4 จึงเป็นการปรับเพื่อให้ครอบคลุมกับยอดขายที่ลดลงในไตรมาสที่ 2 นายปาร์คย้ำว่า ในอนาคตซัมซุงจะไม่มีการแต่งตั้งดิสทริบิวเตอร์ที่สั่งสินค้าโดยตรงจากบริษัทแม่มาจำหน่ายอีกต่อไป แต่อาจมีตัวแทนขายส่ง (wholesaler) เฉพาะรุ่นเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นการขายตรงจากบริษัทไทยซัมซุงทั้งหมด ส่วนคดีที่บริษัทแซม คอร์ปอเรชั่น ฟ้องผู้บริหารซัมซุงนั้น นายปาร์คย้ำว่า บริษัทแซมฯยังไม่ได้มีการทำสัญญาเป็นดิสทริบิวเตอร์กับซัมซุงแต่อย่างใด มีแค่หนังสือแต่งตั้งให้เป็นผู้จำหน่ายโทรศัพท์ซัมซุงในไทยเท่านั้น ซึ่งโดยระบบแล้วจะมีการให้ทำตลาด 3-4 เดือนก่อนเพื่อทดสอบศักยภาพการกระจายสินค้า เมื่อพบว่ากระจายสินค้าได้ดีแล้วซัมซุงจึงจะเซ็นสัญญาเป็นดิสทริบิวเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ แต่กับแซม คอร์ปอเรชั่น นั้น ยังมิได้ดำเนินการถึงขั้นนั้นแต่อย่างใดโดยในวันจันทร์ที่ 8 ต.ค.2550 นี้ นายปาร์คจะต้องเดินทางไปรายงานตัวต่อศาลเป็นครั้งแรก

"ทริปเปิลที"เปิด"เกตเวย์"หวังขึ้นฮับ"อินโดจีน"

"ทริปเปิลที"เปิด"เกตเวย์"หวังขึ้นฮับ"อินโดจีน"
ประชาขาติธุรกิจ(8-10 ตุลาคม 2550)

"ทริปเปิลที โกลบอล เน็ท" ประกาศความพร้อมให้บริการเกตเวย์แล้ว ชูจุดขายสร้างความต่างด้วยการต่อตรงเข้าโครงข่ายกูเกิล เพิ่มความ เร็วในการใช้งานของลูกค้าปลายทาง เผยปีหน้าเตรียมขยายโครงข่ายเชื่อมต่อกับประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า หวังเป็น hub เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในอินโดจีนด้วยนายสุวัฒน์ ปุณณชัยยะ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทริปเปิลที โกลบอล เน็ท จำกัด หรือ TTGN ผู้รับใบอนุญาตให้บริการเกตเวย์ในกลุ่มทีทีแอนด์ที เปิดเผยว่า ขณะนี้ TTGN พร้อมที่จะให้บริการ เกตเวย์อินเทอร์เน็ตแล้ว โดยได้เชื่อมต่อโครงข่ายเข้าสู่แบ็กโบนหลักๆ ใน 3 ทวีป ประกอบด้วยฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส โดยมีแบนด์วิดท์ในเบื้องต้นอยู่ที่ 1.3 Gbps ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไครเบอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ในบริการของ TTGN อยู่ รวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับไอเอสพีอีก 2 รายที่สนใจใช้บริการบริษัทยังได้สร้างความแตกต่างด้วยการจัดทำวงจรต่อตรงผ่านเราเตอร์ของ TTGN เข้ากับโครงข่ายของกูเกิลซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่ใช้เกตเวย์ของบริษัทสามารถใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ เช่น gmail, search engine, google earth, youtube ฯลฯ ของกูเกิลได้เร็วขึ้น เนื่องจากทราฟฟิกไม่ต้องวิ่งอ้อมผ่านโครงข่ายอื่นอีกต่อไป นอกจากนี้บริษัท ยังมีข้อตกลงในการจัดทำวงจรต่อตรงเข้ากับผู้ให้บริการคอนเทนต์อื่นๆ ประกอบด้วย Time Warner, Limelight และ Cogent Network ซึ่งครอบคลุมบริการและคอนเทนต์ต่างๆ ได้มากที่สุด และในอนาคตยังมีแผนที่จะต่อตรงกับ Yahoo และ Microsoft ในอนาคตด้วย"ทุกวันนี้ กทช. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) อนุญาตให้ต่อตรงกับผู้ให้บริการต่างประเทศได้ ทำให้ธุรกิจเกตเวย์มีพัฒนาการไปอีกขั้น มีความแปลกใหม่ ต่างจากเดิมที่แค่เชื่อมต่อไปยังปลายทางเพียงอย่างเดียว"ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนในปี 2551 ในการลงทุนสร้างโครงข่ายเพื่อต่อเชื่อมไปยังผู้ให้บริการในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า เพื่อให้เกตเวย์ของบริษัทเป็น hub ในการเชื่อมต่อออกต่างประเทศแก่กลุ่มประเทศ ดังกล่าว โดยปัจจุบันได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ให้บริการในกัมพูชาแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ให้บริการในพม่าและลาว ทั้งนี้คาดว่าบริษัทจะต้องลงทุนในส่วนนี้เพิ่มอีก 50 ล้านบาท"จะเป็นเส้นทางหนึ่งในการดึงลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามา และทำให้เราเป็น hub ในภูมิภาคนี้ อย่างกัมพูชาเองมี ISP กว่า 20 ราย นอกจากนี้ ยังมีโทรศัพท์ 3G อีกด้วย ซึ่งความต้องการ ใช้งานแบนด์วิดท์ก็มีมาก การเชื่อมเกตเวย์ผ่านไทยก็ทำได้ง่าย คิดว่าโครงข่ายที่วางแผนไว้น่าจะเสร็จในปีหน้า"บริษัทตั้งเป้าหมายว่ารายได้จากการให้บริการในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 200 ล้านบาท และในปีหน้าเพิ่มเป็น 400 ล้านบาท โดยมีผลกำไรอยู่ที่ 20% นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ (IDD) ในปีหน้าด้วย โดยจะเน้นให้บริการกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมและลูกค้าองค์กรเป็นหลัก แต่รายได้จากบริการดังกล่าวไม่น่าจะสูงมากเพราะยังเป็นรายใหม่ในตลาด ต้องใช้เวลาในการสร้างความมั่นใจในการให้บริการแก่ลูกค้าสักระยะหนึ่ง รายได้ 70-80% ก็น่าจะมาจากเกตเวย์ อินเทอร์เน็ตมากกว่า โดยขณะนี้บริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาต IDD ไปยัง กทช.แล้ว คาดว่าจะได้ ใบอนุญาตในไตรมาส 4 ของปีนี้โดยใช้เงินลงทุนอีก 100 ล้านบาท สำหรับติดตั้งอุปกรณ์"ตลาดอินเทอร์เน็ตในไทยตอนนี้มีความเร็วมาตรฐานที่ 1 mbps แล้ว และความต้องการใช้งานแบนด์วิดท์ก็มากขึ้น ตัวเกตเวย์เองก็ต้องพยายามหาแบนด์วิดท์มากขึ้น ในส่วนของทริปเปิลที คาดว่าปี 2551 ลูกค้าอินเทอร์เน็ตในต่างจังหวัดจะขยายตัวจาก 200,000 ราย เป็น 500,000 ราย ดังนั้นคงต้องเพิ่มแบนด์วิดท์อีก 2 Gbps ซึ่งยังไม่รวมความต้องการใช้งานจากประเทศในอินโดจีน"


”ดีแทค” โอนทราฟฟิกต่างประเทศคืน “กสท” แลกสัญญา IC

”ดีแทค” โอนทราฟฟิกต่างประเทศคืน “กสท” แลกสัญญา IC
ประชาขาติธุรกิจ(8-10 ตุลาคม 2550)

"กทช." รับบทเข้มเงื้อดาบเตรียมฟัน "ดีแทค" เหตุลักไก่โยกทราฟฟิกทางไกลระหว่างประเทศ จาก 001 เข้าโครงข่ายตนเองหน้าตาเฉยตั้งแต่เดือน "ส.ค." ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เลขหมายเพื่อเปิดให้บริการ ฝั่ง "ดีแทค" แบะท่ายอมโอนทราฟฟิกคืนแลกเซ็นสัญญา "ไอซี" ลุ้นบอร์ด กสทฯอนุมัติ 6 ต.ค.นี้ นายมารุต บูรณะเศรษฐกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและการขาย บมจ. กสท โทรคมนาคม เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการเจรจากับทีมผู้บริหารของดีแทคเมื่อวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ดีแทคได้ตกลงจะคืนทราฟฟิกจากการให้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศมาผ่านโครงข่ายของ กสทฯ ภายในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ พร้อมยื่นข้อเสนอในเบื้องต้นว่าหาก กสทฯแสดงเจตนาในการผลักดันการใช้ค่าอินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จ (ไอซี) ร่วมกันก็ยินดีที่จะไม่ทำบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ (ไอดีดี) ด้วยตนเอง แต่จะเช่าใช้เครือข่ายของ กสทฯแทน ซึ่ง กสทฯต้องนำข้อเสนอดังกล่าวให้คณะกรรมการบริหารของบริษัทพิจารณาอีกครั้งในการประชุมบอร์ดวันที่ 6 ตุลาคมนี้"ได้มีการพูดคุยเรื่องข้อเสนอนี้กับนายพิศาล จอโภชาอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ รวมถึงบอร์ดบางคนแล้ว แต่มีความเห็นที่หลากหลาย ดังนั้นในการประชุมบอร์ดจะรวบรวมข้อดีและข้อเสียของการลงนามค่าไอซีกับดีแทค รวมถึงผลที่จะได้รับจากการมีพันธมิตรให้บอร์ดพิจารณาอีกครั้ง" นายมารุตกล่าวและว่าอย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะชี้ขาดได้ว่าดีแทคมีสิทธิเปลี่ยนรหัสโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ ที่ใช้ผ่านเครื่องหมายบวก "+" จากรหัส 001 ของ กสทฯ เป็นการใช้บริการผ่านเครือข่ายบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ก จำกัด บริษัทลูกของดีแทค หรือไม่ คือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และการยื่นข้อเสนอกับการเซ็นสัญญาไอซีของดีแทคกับการยกเลิกบริการโทร.ทางไกลระหว่างประเทศ ไม่ถือเป็นการยื่นหมูยื่นแมวโดยตนขอยืนยันว่าการตัดสินใจของบอร์ดจะไม่มีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากทำให้กสทฯอยู่ได้ต่อไปในอนาคต นายมารุตกล่าวว่า สาเหตุที่ดีแทคยินดีไม่ทำบริการไอดีดีด้วยตนเองเป็นเพราะบริการนี้ไม่ใช่รายได้ก้อนใหญ่สำหรับดีแทค และก่อนหน้านี้ดีแทคก็ได้เข้ามาเจรจาเพื่อขอทำธุรกิจร่วมกันกับ กสทฯ ใน 2-3 โครงการด้วยกัน แต่สำหรับกรณีไอซีที่ผ่านมา กสทฯเห็นประโยชน์ของการใช้ไอซีมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่ขณะนี้ปัญหาค่าแอ็กเซสชาร์จ (เอซี) กับค่าไอซีเข้ามาเกี่ยวข้องกับการให้บริการไอดีดี และบริการอื่นๆ ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่กับการบริหารงานด้านการตลาด ดังนั้นบอร์ด กสทฯจึงจำเป็นต้องพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ ที่ผ่านมานโยบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโน โลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จะเน้นให้ทุกหน่วยงานภายใต้ไอซีทีต้องสมัครสมานสามัคคี และดูแลซึ่งกันและกันจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ทั้ง ทีโอทีและ กสทฯจะต้องช่วยเหลือกัน รวมถึงกรณีเอซีและไอซี แต่ขณะเดียวกันบอร์ด กสทฯก็คงต้องพิจารณาถึงประโยชน์โดยรวมด้วยว่าการมีหรือไม่มีไอซีจะทำให้อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศชะงักหรือไม่ เติบโตหรือไม่
"ขณะนี้ กสทฯมีสิทธิตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับบริษัท แต่ถ้าต่อไปผู้กำกับระดับนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีไอซีทีหรือรัฐบาลไม่เห็นด้วยก็จะมีการปรับเปลี่ยนในภายหลัง" นายมารุตกล่าวสำหรับกรณีปัญหาเกี่ยวกับบริการโทร.ทางไกลระหว่างประเทศของดีแทคและ กสทฯนั้น เกิดจากการที่ดีแทคได้โอนทราฟฟิกจากการโทรศัพท์ออกไปยังต่างประเทศ ผ่านการกดเครื่องหมายบวก "+" ของผู้ใช้มือถือดีแทคไปยังเครือข่ายของบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ก จำกัด บริษัทลูกของ ดีแทคแบบอัตโนมัติ จากเดิมใช้เครือข่าย กสทฯผ่านรหัส "001" ทั้งๆ ที่ดีแทคยังไม่ได้รับจัดสรรเลขหมายสำหรับบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศจาก กทช.แต่อย่างใดโดยดีแทคได้เริ่มโอนทราฟฟิกไปยังเน็ตเวิร์กของตนเองตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้คิดเป็นกว่า 13% ของปริมาณทราฟฟิกโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศของ กสทฯทั้ง หมด กสทฯจึงได้ทำหนังสือเชิญผู้บริหารของดีแทคให้มาชี้แจงในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าเป็นบริษัทผู้รับสัมปทานของ กสทฯนอกจากนี้ ที่ผ่านมาดีแทคไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยว่าการกดเครื่องหมายบวก "+" ไม่ใช่การใช้บริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศผ่านรหัส 001 ของ กสทฯ ทำให้ ผู้ใช้บริการไม่ทราบว่าตนไม่ได้ใช้บริการของ กสทฯ แต่ทำเพียงการประชาสัมพันธ์ในเว็บไซต์ของดีแทคเท่านั้น ที่ระบุว่าการกดเครื่องหมายบวกไม่ใช่การกดรหัส 001 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหมือนการแก้เกี้ยวไม่ให้ใครมาว่าได้เท่านั้น"การที่บอร์ด กสทฯจะพิจารณาข้อเสนอของ ดีแทคนั้น เป็นคนละเรื่องกับการเรียกค่าชดเชยที่เกิดจากการแอบโอนทราฟฟิกของ "แคท 001" ไปยังบริษัทลูกของดีแทค ดังนั้น กสทฯจะทำหนังสือร้องเรียนกรณีดังกล่าวไปยัง กทช. เพื่อให้ตัดสินว่าดีแทคทำผิดหรือไม่ หาก กทช.ชี้มาว่าดีแทคผิด กสทฯก็จะเรียกค่าชดเชยในส่วนนี้คืน และ ณ ขณะนี้จึงยังไม่ถือว่าปัญหาทุกอย่างจบลง เพราะจากการตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดีแทคก็ยังไม่คืนทราฟฟิกในส่วนนี้ให้" แหล่งข่าวกล่าวเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา บมจ.กสท โทรคมนาคม เคยร้องเรียนไปยัง กทช.ว่า บริษัท แอดวานซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอไอเอ็น) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ผู้ให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศผ่านรหัส 005 เปลี่ยนการใช้เครื่องหมายบวก "+" ของลูกค้า เอไอเอส เป็นการใช้รหัสทางไกลระหว่างประเทศ 005 แทนรหัส 001 ของ กสทฯ โดยไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบ ทำให้ปริมาณทราฟฟิกผ่านรหัส 001 ของ กสทฯลดลง 62% ขณะที่บริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด ได้รับใบอนุญาตจาก กทช.ให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรเลขหมายแต่อย่างใด เนื่องจากรหัสทางไกลระหว่างประเทศ 004 ที่จะให้กับ ดีแทค มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นการใช้ร่วมกันระหว่าง กสทฯ, ดีแทค, เอไอเอส และ ทรูมูฟ จึงต้องมีการปรับระบบเพื่อโอนกลับมายัง กทช.ก่อน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ"004 มีการใช้อยู่จึงต้องรอให้ปรับระบบโอนคืนกลับมาก่อน ซึ่งก็ตกลงกันได้แล้วว่าจะโอนมาใช้ 069 เพื่อให้ 004 คืนกลับมาที่ กทช.เพื่อให้ดีแทคต่อไป ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งเท่าที่ทราบทั้ง ดีแทค กสทฯ และทรูมูฟ ปรับระบบเสร็จแล้ว เหลือเอไอเอสที่ยังทำไม่เรียบร้อย จึงยังไม่สามารถโอน 004 มาให้ กทช.ได้"ด้าน พล.อ.ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม ซึ่งหากมีการร้องเรียนมา ตนจะสั่งการให้สำนักงาน กทช.ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร หากพบว่าดีแทค โอนทราฟฟิกเข้าโครงข่ายของตนเองโดยไม่ผ่าน กสทฯ จะมีความผิดอย่างแน่นอน เนื่องจากดีแทคยังไม่ได้รับการจัดสรรเลขหมายสำหรับให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศจาก กทช.แต่อย่างใด โดยปัจจุบันมีเพียงบริษัท เอไอเอ็น โกลบอลคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอสได้รับเลขหมาย 005 ไปเพียงรายเดียวเท่านั้น และแม้ดีแทคจะได้รับอนุญาตให้ให้บริการ IDD ได้แล้ว แต่ก็ยังมีเงื่อนไขว่าต้องนำทราฟฟิกวิ่งผ่านเกตเวย์ของ กสทฯด้วยเช่นกัน"ตอนนี้เรายังไม่เปิดให้ทำการต่อตรงในส่วนของเกตเวย์ IDD เราเปิดแค่เกตเวย์อินเทอร์เน็ตเท่านั้น และดีแทคก็ยังไม่ได้รับการจัดสรรเลขหมายจาก กทช.ด้วย กรณีนี้ต้องดูว่าบริษัทที่ดำเนินการคือบริษัทอะไร หากเป็นตัวดีแทคโดย ตรงเข้าใจว่าในฐานะคู่สัญญาของ กสทฯก็น่าจะมีข้อบังคับบางอย่างอยู่ในสัญญาสัมปทาน และ กสทฯน่าจะดำเนินการได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่หากใช้บริษัทลูกดำเนินการก็จะเป็นส่วนที่ กทช.จะดำเนินการ เนื่องจากมีฐานะเป็นผู้รับใบอนุญาตจาก กทช." พล.อ.ชูชาติกล่าว

กลต.รื้อเกณฑ์ รับหลักทรัพย์ ดึงหุ้นข้ามชาติ

กลต.รื้อเกณฑ์ รับหลักทรัพย์ ดึงหุ้นข้ามชาติ
โพสต์ทูเดย์ (8 ตุลาคม 2550)

ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์รับหลักทรัพย์ แก้อุปสรรคสำหรับบริษัทต่างประเทศเข้าตลาดหุ้นไทย
นายชาลี จันทนยิ่งยง ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุดเพื่อทบทวนเกณฑ์การรับหลักทรัพย์ ที่เป็นอุปสรรคสำหรับบริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เช่น การจะต้องมีผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. “เราจะต้องดูในเรื่องระเบียบปฏิบัติให้รอบคอบ และก่อนประกาศใช้จะมีการสำรวจความเห็น (เฮียริง) กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อน” นายชาลี กล่าว กรณีบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) หรือดีแทค ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่ง หรือดูโอลิสติง ไม่น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ดี เพราะดีแทคเป็นบริษัทในประเทศไทยและเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์ก่อน ตลาดหุ้นไทยจึงใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดแล้ว ซึ่งแตกต่างจากบริษัทในเวียดนามที่จะเข้าตลาดหุ้นไทย การปรับปรุงครั้งนี้เป็นการทำงานสอดประสานกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอนุญาตให้บริษัทร่วมทุนไทยในต่างประเทศ (จอยเวนเจอร์) สามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเพื่อระดมเงินทุนในประเทศไทยได้ในวงเงินขั้นต้น 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันบริษัทที่อยู่ระหว่างยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหุ้น (ไฟลิง) กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. มีเพียง 14 บริษัท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คงเพราะภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อและเจ้าของบริษัทชะลอการขายหุ้น

‘ทีโอที’เดี้ยง กำไรต่ำเป้า

ทีโอที’เดี้ยง กำไรต่ำเป้า
โพสต์ทูเดย์ (8 ตุลาคม 2550)

“ทีโอที” โวยโดนขโมยใช้วงจร และรายได้หลักโทร.พื้นฐานลด ส่งผล 8 เดือน พลาดเป้า 2 พันล้าน วืดค่าต๋งดีแทค-ทรูมูฟ 1.4 หมื่นล้าน น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที กล่าวว่า เหตุที่รายได้ทีโอทีลด เพราะบริการหลักคือ โทรศัพท์พื้นฐานมีรายได้เหลือเพียง 9.8 พันล้านบาท ค่าเช่าวงจรมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบรอดแบนด์ มีรายได้ 1.4 พันล้านบาท รวมทั้งโดนคู่สัญญาร่วมการงานลักลอบใช้โครงข่ายและเสนอบริการออกมาแข่ง ทำให้ภาพรวมมีรายได้ไม่เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ ทั้งนี้ รายได้ทีโอที 8 เดือนทำได้รวม 3.12 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ของคู่สัญญาร่วมการงาน 1.37 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นรายได้ของทีโอทีประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนของทีโอทีเดิมตั้ง เป้ารายได้ไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท หรือ เท่ากับ 8 เดือน รายได้พลาดจากเป้า 2 พันล้านบาท เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทีโอทีรายงานว่ามีกำไรเพียง 1.2 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.2 พันล้านบาท โดยสาเหตุมาจากโทรศัพท์พื้นฐานมีรายได้ 4.9 พันล้านบาท ลดจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1 พันล้านบาท โทรศัพท์สาธารณะรายได้ หายไป 32% จากเดิมที่เคยมีรายได้ 1.4 พันล้านบาท และโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ รายได้ 336 ล้านบาท น้อยกว่าที่ปีที่แล้ว มีรายได้ 497 ล้านบาท
น.ส.สุภา กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่า รายได้ของทีโอทีในปีนี้ จะไม่รวมค่าเชื่อมต่อเลขหมาย หรือเอซี (แอ็กเซสชาร์จ) จาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ คู่สัญญาของบริษัท กสท โทรคมนาคม มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท และรายได้จากค่าเชื่อมโยงโครงข่าย หรือไอซี (อินเตอร์คอนเนกชันชาร์จ) ที่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการฟ้องร้องศาลปกครอง ซึ่งทีโอทีตั้งเป้าว่าจะมีรายได้สิ้นปีที่ 4.66 หมื่นล้านบาท เท่านั้น สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ บริการบรอดแบนด์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการประมูลขยายโครงข่ายเพิ่มอีก 975 ล้านบาท รวมทั้งการต่อสัญญา นายอดิศร์ หะริณสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักการตลาด อีก 3 เดือน เพื่อให้ทำการตลาดเชิงรุกอย่างจริงจัง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ติดขัดเรื่องงบประมาณ ทำให้แผนการตลาดในส่วนของบรอดแบนด์ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ทีโอทีได้เริ่มทำ ตลาดบรอดแบนด์อย่างหนักเมื่อปลายเดือนที่แล้ว โดยเสนอความเร็วให้ กับลูกค้าใหม่ที่ 1 เมกะบิตต่อวินาที ในราคา 590 บาท รวมทั้งอัพเกรด ความเร็วให้ลูกค้าเดิมได้ใช้ ความเร็ว ที่ 1 เมกะบิตขึ้นไป เพื่อแข่งขันกับ คู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด ตั้งเป้าว่าจะสามารถดึงลูกค้าได้เพิ่มอีก 4.5 หมื่นรายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 3.5 แสนราย ขณะที่โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งชาติ หรือ 3 จี มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ความหวังของทีโอทีจะลงทุนเป็นผู้ให้เช่าโครงข่าย ต้องสะดุดจากปัญหาเปลี่ยน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งเป็นต้นสังกัดที่จะต้องเสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ

แฉผู้บริหารทีโอทีแก้สัญญาเอื้อทีทีแอนด์ที

แฉผู้บริหารทีโอทีแก้สัญญาเอื้อทีทีแอนด์ที
ไทยโพสต์ (8 ตุลาคม 2550)

สรท.พบแก้สัญญาสัมปทานเอื้อทีทีแอนด์ที ให้บริษัทในเครือใช้โครงข่ายไม่ผิด ทำทีโอทีเสียเปรียบ ล่าสุดผลประกอบการ 8 เดือนย่ำแย่ กำไรหด 50% นายสมชาย แนวพานิช รักษาการกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ สรท.เปิดเผยถึงกรณีบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ได้ลักลอบให้บริษัทในเครือบริษัท ทริปเปิ้ลที บรอดแบนด์ใช้โครงข่ายว่า จากกรณีดังกล่าวที่ทีทีแอนด์ทียืนยันมาโดยตลอดว่า การเชื่อมต่อที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่ไม่ได้ละเมิดสัญญา เนื่องจากพบว่าที่ผ่านมาช่วงนายจำรัส ตันตรีสุคนธ์ ดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัญญาให้บริษัทในเครือของทีทีแอนด์ทีสามารถใช้โครงข่ายได้โดยไม่ผิดต่อสัญญา ซึ่งการแก้ไขสัญญาดังกล่าว ส่งผลให้ทีโอทีต้องสูญเสียรายได้จากเดิมที่จะต้องรับส่วนแบ่งรายได้ที่ 43.1 % จากทีทีแอนด์ที มารับส่วนแบ่งรายได้จากทริปเปิ้ลทรีที่ 19% เท่านั้น "เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่าบอร์ดรู้เรื่องหรือไม่เพราะการแก้สัญญาครั้งนี้ ถือว่าทีโอทีเสียหายและต้องยอมรับว่า รายได้หลักของทีโอทีก็มาจากเรื่องส่วนแบ่งรายได้ และค่าแอคเซสชาร์จ (เอซี) ถ้ามีการลักไก่เปลี่ยนสัญญาให้เอกชน อย่างทริปเปิ้ลทรีถือว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และทำให้รายได้ของบริษัทก็ยิ่งหดลง ผมว่าอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ว่าอีกไม่เกิน 3 ปี ทีโอทีเจ๊งก็คงต้องเป็นเรื่องจริง" นายสมชายกล่าว ด้านนางสาวสุภา ปิยะจิตติ คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการช่วงมกราคมถึงสิงหาคม ปี 2551 ทีโอทีมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 14.3% โดยมีรายได้ อยู่ที่ 34,584 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับรายได้ดังกล่าวยังไม่มีการรวมกับค่าเชื่อมต่อเลขหมาย (แอคเซสชาร์จ) หรือค่าเอซี จาก บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ที่หยุดจ่าย ไปตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2549 รวมแล้วประมาณกว่า 8,000 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้จากการให้บริการของทีโอทีมีประมาณ 18,404 ล้านบาท จากเดิมมีรายได้ 19,522 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการให้บริการวงจรเช่า และบริการเอดีเอสแอล ส่วนบริการที่มีรายได้ลดลงมาจากบริการโทรศัพท์พื้นฐาน และบริการโทรสาธารณะที่ลดลง

ทั้งนี้ทีโอทีตั้งเป้ามีกำไรสุทธิ 8,168 ล้านบาท แต่ช่วงที่ผ่านมาการให้บริการของทีโอทีมีรายได้ลดลงทำให้มีกำไรสุทธิในช่วง 8 เดือนเหลือเพียง 4,021 ล้านบาท หรือลดลง 50.8% โดยจากการลดลงของกำไรอาจมีส่วนจากแนวโน้ม การให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานลดลงอย่างไรก็ตามทีโอทีได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับทีโอทีโดยการขยายการให้บริการบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดโปรโมชั่นเพื่อให้มีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น



Case casts spotlight on Thai investment law

Case casts spotlight on Thai investment law
Financial Times (8 October 2007)

The Thai authorities’ decision to pursue a businessman accused of acting as a nominee in the purchase of Thaksin Shinawatra’s Shin Corp in 2006 has revived questions about pending changes in foreign ownership rules.A Bangkok court last week approved an arrest warrant for Surin Upatkoon, whom police accuse of using funds from Singapore’s Temasek Holdings to purchase a 68 per cent stake in a holding company, Kularb Kaew, which is the majority shareholder in another company that owns 52 per cent of Shin Corp.

ADVERTISEMENT

Mr Surin, a Thai national based in Malaysia, has denied any wrongdoing. His lawyers say he is a victim of politics and authorities’ efforts to prosecute Mr Thaksin, the former Thai prime minister who was deposed in a coup in September 2006 after months of protests over the Shin Corp deal. Mr Thaksin faces corruption charges in Thailand, although criminal proceedings have been put on hold as he is in exile.“The case has no grounds for the police to issue an arrest warrant,” said Phisit Dejchaiyasak, a lawyer for Mr Surin. “We can show [Mr] Surin is a big investor in many companies. He has invested in China, Australia and Thailand. Why would a person like this be a nominee? ”Temasek is not the subject of any charges and a spokesman said Singapore’s sovereign investment fund did not want to comment until it saw the result of the case against Mr Surin. But the case is being watched closely by foreign investors, because if Mr Surin is found guilty it could have repercussions for Temasek, Shin Corp and any foreign companies using Thai nominees. If Kularb Kaew is declared a nominee, that could be in violation of Thailand’s Foreign Business Act. Were Shin Corp defined as a foreign company it could see its licence to operate Thailand’s top mobile phone operator revoked. Or, at the very least, Temasek could be forced to sell down its stake to below 50 per cent. The Kularb Kaew case inspired the military-appointed government to propose changes to the Foreign Business Act that would define a company’s nationality by voting rights and not by shareholding, in an effort to stop the use of nominees. The bill, which has faced widespread opposition from both Thai and foreign investors, is now stalled in parliament. Analysts warn the case could have broader implications for hundreds of foreign investors who have used nominees to invest in Thailand. But the government is seeking to prosecute the Kularb Kaew case in a way that would limit the fall-out, analysts say.

SET warns of dilution effect

SET warns of dilution effect
Bangkok Post (8 October 2007)

Investors should exercise caution and monitor listed companies closely for new share issues, warrant issues and employee stock-option programmes (Esop) that could lead to a dilution effect for existing shareholders. Officials of the Stock Exchange of Thailand noted that an increasing number of companies have been raising new capital through private placements of shares priced below market prices, placing existing shareholders at a disadvantage. Warrant issues and Esop offerings with unfavourable pricing for shareholders was also growing increasingly common, the SET warned. Supakit Jirapraditkul, a SET senior vice-president, said such practices placed minor shareholders at a clear disadvantage, with the benefits instead going to major shareholders or management. ''We have tried to pressure listed companies issuing new shares or Esop shares to clarify their pricing strategies and the impact on existing shareholders,'' he said. ''But we can only raise questions with the listed companies. At the end of the day, it depends whether shareholders approve the offering or not.'' The SET also noted that accounting fraud and misstatements had increased among listed companies over the past several quarters, with 10 companies singled out by regulators for possible wrongdoing. According to the Securities and Exchange Commission, since the beginning of the year, 26 companies have approved Esops worth a total of 9.3 billion baht, including Adamas Incorporation, Loxley, Bliss-tel, Tanayong, Live Incorporation, Salee Industry and Vinythai.

SET warns of dilution effect

SET warns of dilution effect
Bangkok Post (8 October 2007)

Investors should exercise caution and monitor listed companies closely for new share issues, warrant issues and employee stock-option programmes (Esop) that could lead to a dilution effect for existing shareholders. Officials of the Stock Exchange of Thailand noted that an increasing number of companies have been raising new capital through private placements of shares priced below market prices, placing existing shareholders at a disadvantage. Warrant issues and Esop offerings with unfavourable pricing for shareholders was also growing increasingly common, the SET warned. Supakit Jirapraditkul, a SET senior vice-president, said such practices placed minor shareholders at a clear disadvantage, with the benefits instead going to major shareholders or management. ''We have tried to pressure listed companies issuing new shares or Esop shares to clarify their pricing strategies and the impact on existing shareholders,'' he said. ''But we can only raise questions with the listed companies. At the end of the day, it depends whether shareholders approve the offering or not.'' The SET also noted that accounting fraud and misstatements had increased among listed companies over the past several quarters, with 10 companies singled out by regulators for possible wrongdoing. According to the Securities and Exchange Commission, since the beginning of the year, 26 companies have approved Esops worth a total of 9.3 billion baht, including Adamas Incorporation, Loxley, Bliss-tel, Tanayong, Live Incorporation, Salee Industry and Vinythai.

Democrats put ICT on agenda

Democrats put ICT on agenda
Bangkok Post (8 October 2007)

Democrat Party leader Abhisit Vejjajiva has put information technology at the forefront of the party's policies, with plans for ICT centres for each village and an ICT fund for businesses two of the proposed projects. Speaking recently at the ICT SME Summit 2007, Abhisit said human resource development was also a top priority and the party would put more focus on ICT education initiatives. The so-called digital divide must be tackled, the leader said, pointing out that the Democrats would focus on villages rather than the urban elite. ''The target should be the group who are farthest behind where they should be, so for us the villagers should have access to ICT,'' he said. Abhisit said that if the Democrat Party was elected it would promote investment in infrastructure and logistics. Though the number of fixed telephone lines and mobile phones has increased, it is still too low, he said, adding that the National Telecommunications Commission (NTC) had to move forward and promote fair competition.
''Personally, I agree to merge the NTC and the National Broadcasting Commission (NBC) because the technologies of telecommunications and broadcasting cannot be separated,'' he said.
He noted that Thailand was not competitive when it came to logistics because of high costs. The government needs to invest in transportation and set up e-logistics that can link to e-government services. Public sector reform did not mean changing ministries, but rather changing the way of working, he said, noting that the government must be a catalyst for ICT utilisation. ''What I would like to do is to reduce the burden on the private sector by having a single window of contact [for government services],'' the party leader said.
He added that ICT could help SMEs become more competitive, but there needed to be more incentives. The government should provide tax reductions on ICT or provide consultation services for ICT. The government could also help the private sector to access ICT funding, perhaps not directly but by offering guarantees, he noted.

Samsung profits from go-it-alone strategy

Samsung profits from go-it-alone strategy
Bangkok Post (8 October 2007)

Samsung says its mobile handset sales have improved significantly since it began doing its own distribution after its main local distributor terminated its contract. But the South Korean company has faced higher costs from the expansion of its sales team to cover dealers nationwide, said Kwang Ki Park, managing director of Thai Samsung Electronics. Mr Park said Thai Samsung would no longer use an outside distributor in Thailand but would operate its own distribution channels and appoint wholesalers to sell particular phone models. Samsung was accused recently of selling outdated models of mobile phones to its main distributor, Sam Corporation, a subsidiary of SET-listed TWZ Corporation, and providing no marketing support. Sam Corp filed fraud charges on July 23 against Mr Park and Thai Samsung general manager Chung Jun Kim, claiming it had suffered losses totalling 63 million baht. The case has also prompted other retailers to file fraud complaints with the Crime Suppression Division, claiming they encountered similar problems. The case between Thai Samsung and Sam Corp is now before the courts, with Samsung executives required to report to court on Monday. Mr Park said that his company's monthly sales volume rose by 20% this month to 120,000 units and the figure would increase to 150,000 in December. He said the increased sales in the fourth quarter were expected to compensate for a sharp reduction of handset sales in the second quarter. ''We expect to see an increase of between 15% and 16% in sales volume to 1.2 million units this year. Revenue would increase by 4-5%,'' he said. Mr Park also said that Sam Corp would have no longer exclusive rights since it did not pass the three-month probation period, due mainly to limited distribution coverage and poor stock management control. He said Thai Samsung had signed only a letter of appointment, not a contract, to designate TWZ as its sole distributor on Dec 20 last year. The exclusive distribution right was transferred to Sam Corporation on Jan 1 this year. Mr Park also dismissed allegations that Thai Samsung did not pay incentives to 700 dealers. The company has paid 4.12 million baht worth of incentives out of a total of 4.23 million and the rest were now being processed, he said. Thai Samsung Electronics reported US$1.3 billion in revenue last year. Of the total, 65% came from exported products with the remaining 35% from the domestic market. The company was the largest electronics exporter in Thailand according to Board of Investment, said Mr Park.

Thai Samsung to sell direct to dealers

Thai Samsung to sell direct to dealers
The Nation (8 October 2007)

Thai Samsung Electronics (TSE) will distribute mobile phones directly to dealers following exclusive distributor SAM's termination of its contract. TSE senior manager Manatase Annawat said yesterday that as part of the company's revised marketing strategy, the sales force had been beefed up and products would be promoted more using the modern trade channel.
TSE has its work cut out for itself to achieve its sales target this year but has no plan to appoint a new exclusive distributor soon, he said. Managing director Kwang Kee-park said Samsung had raised its sales target for this quarter to 150,000 phones per month from the average of 100,000 units, and would in-troduce 10 models by year-end. The Korean company ran into legal problems last month when SAM sued Park and TSE general manager Chung Jun-kim for fraud. Police arrested both executives on September 7 at the company's office on Sathorn Road in the afternoon and released them later on bail. One of the charges against Park is that he asked SAM to purchase a new lot of handsets and said his company would later return money to SAM in the form of a marketing budget of US$1 million (Bt34.3 million). However, SAM claims it has yet to receive the money as promised. SAM eventually notified TSE that it would end its distribution service for TSE. Park yesterday denied any management change at TSE after the legal dispute with SAM. Manatase said TSE had prepared a legal defence and filing a counter-lawsuit was one option. No decision has yet been made, however. He claimed that TSE had already paid 97 per cent of the Bt4 million worth of incentives it would provide to dealers as a show of its commitment and as encouragement to promote its products.

BOT seeks to wipe out its red ink

BOT seeks to wipe out its red ink
The Nation (8 October 2007)

Institution wants new government to clear forex loss. In a move that is likely to be politically sensitive, the Bank of Thailand will propose that the new elected government wipe out its book loss, which was caused by currency intervention in the foreign-exchange market to halt the rapid rise of the baht. The BOT plans to make the request as it will not be in a position to recover from the loss on its own and does not want to maintain a negative net worth of Bt69.77 billion in its balance sheet. The central bank is considering options such as asking the government to proclaim an executive decree to eliminate its loss, or it might call for the government to recapitalise by setting the budget so as to wipe out the loss. BOT Governor Tarisa Watanagase said the central bank might allow its balance sheet to improve itself even though it needed the recapitalisation. However, the proposal would have to be approved by the elected government, not the interim government. Assistant governor Suchada Kirakul said that if the central bank made a net profit, the negative net worth could be erased. "Currently, there is no law to carry off the loss. The government may raise the capital," she said. BOT Deputy Governor Atchana Waiquamdee said if the government did not want to see the BOT in the red, it could issue an executive decree. The central bank will not be able to contribute its income to the Finance Ministry if its balance sheet showed the net loss. The BOT book loss could be politically sensitive. Even though the loss from the currency intervention would appear only in the book, the huge loss could have a psychological impact. Former central bank governor Rerngchai Marakanond was sued for causing a huge loss through currency intervention. As the baht is set to appreciate further, the central bank is likely to incur further losses to counter the volatility of global capital movements. The United States' twin deficits and its property-sector problems could also lead to the dollar's depreciation and the baht's appreciation. Further intervention by the BOT to halt the baht's rise could add to its book loss. Atchana said she could not project this year's bottom line in its book, as it partly depended on the baht level at the end of the year. "If the US economic policies are not good, the dollar will be weaker, contributing to the baht's strength," she said. So far, the baht has strengthened more than 5 per cent against the greenback since the end of last year. The BOT, it is estimated, bought US$19 billion from the foreign-exchange market to rein in the baht in the first nine months of the year, calculated from changes in international reserves and net forward positions. As of September 28, the central bank foreign exchange reserves were $80.7 billion and the net forward position was $12.9 billion. Last year, the BOT posted a net loss of Bt102.29 billion, due to large expenses of Bt170.36 billion but low revenues of Bt68.07billion. It is estimated that the central bank bought about US$18 billion in the forex market last year to slow down the appreciating baht, which rose 18 per cent, from Bt41 to Bt36 a dollar. The strong baht brought about the tremendous loss of the mark-to-market international reserves, although returns on investment will be higher than interest expenses from bond issues to absorb the flood of liquidity. According to the BOT's annual report, net losses on foreign exchange reached Bt99.73 billion, accounting for almost 60 per cent of total expenses. Moreover, interest expenses were Bt62.11 billion, or 36 per cent of total expenses.
Being in the red would hamper the BOT's ability to contribute revenues to the Finance Ministry. As a result, the ministry would have less money to pay interest to holders of bonds issued to compensate for the burden of the Financial Institutions Development Fund. The ministry would have to contribute more from its budget for such compensation.
The central bank has struggled from the huge loss incurred during the economic crisis, when foreign speculators dumped the over-valued baht and foreign investors and creditors took their money out of the country. The BOT posted net losses for five straight years, with a net loss of Bt67.61 billion and negative net worth of Bt36.41 billion in 1997. However, it had a turnaround in 2002, when it recorded a net profit of Bt11.89 billion, resulting in a net worth of Bt39.85 billion. The Bank of Thailand said Friday that its foreign reserves as of September 28 were $80.7 billion, compared with $79.7 billion a week earlier.

TOT unlikely to meet target for this year

TOT unlikely to meet target for this year
The Nation (8 October 2007)

Boost from broadband service will be a plus. TOT achieved a net profit of just over Bt4 billion during the first eight months, indicating it may well fall short of the year-end target of Bt8.168 billion. TOT board director Supa Piyajitli said it would be difficult for the state agency to meet the net-profit target but TOT would work harder to achieve it by seeking more revenue from its rising-star broadband service. TOT targets total revenue of Bt46.664 billion this year. During the past eight months, its revenue stood at Bt34.584 billion versus Bt40.349 billion over the same period last year. Of total revenue as of August, Bt18.404 billion was from its own primary services, Bt984 million from the network-access charge, Bt13.78 billion from concession fees and Bt1.4 billion from other related businesses. Of total revenue from its own services, the fixed-line telephone business generated Bt9.8 billion during the past eight months, followed by the leased-line service with Bt2.94 billion, broadband Internet Bt1.4 billion and public-phone services Bt1.9 billion. TOT collected lower access charges this year after Total Access Communica-tion (DTAC) and True Move stopped paying the charge to TOT last November, totalling over Bt8 billion at present. All private cellular concessionaires of CAT Telecom - DTAC, True Move and Digital Phone - have paid the access charge to TOT for connecting different networks through the TOT network. DTAC and True Move stopped the payment and have instead adopted the interconnection charge regulations set by the National Telecommunications Commission (NTC). The charge requires all telecom operators that signed bilateral interconnection deals to share voice and data revenue between the networks involved in the calls. TOT plans to roll out additional broadband-network facilities nationwide. Its board last Friday approved the state agency's plan to ask several telecom network suppliers to propose prices for the broadband-network equipment of the project. The project's referential price is Bt975 million and the price tender process is expected to be finished next month. The board also approved TOT's purchase of 17,500 iPSTAR satellite receiving terminals from the iPSTAR broadband satellite to provide the broadband Internet connection service. The state agency successfully asked the satellite operator Shin Satellite to lower the price of the terminals to Bt448 million from the original Bt539 million. TOT expects to reach the break-even point from the purchase within three years and the service to generate an average revenue per user of Bt600 monthly. TOT is the wholesale and retail iPSTAR broadband service provider of Shin Sat.