Saturday, October 06, 2007

SATTEL ดัน iPSTAR ลุยฟิลิปปินส์


SATTEL ดัน iPSTAR ลุยฟิลิปปินส์
Telecom Journal (6 October 2007) 14:20:39

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส ออกบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อหุ้น บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL โดยแนะนำ“ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 17.00 บาท โดยระบุว่า SATTEL ได้เซ็นสัญญากับบริษัท TNRI Telecoms Inc. (เป็นบริษัทให้บริการสื่อสารไร้สายผ่าน VSAT และโครงข่ายภาคพื้นดิน) ในฟิลิปปินส์เพื่อเป็นลูกค้าของ IPSTAR เพื่อให้บริการ Broadband ในชนบท โดย TNRI ได้ตกลงว่าจะใช้ Bandwidth กว่า 100 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps) และจะสั่งซื้ออุปกรณ์ปลายทาง (User Terminal) ด้วยแม้ว่าการใช้ Bandwidth 100 Mbps จะคิดเป็นเพียง 0.25% ของ Capacity ทั้งหมดของ IPSTAR (Capacity ที่จัดสรรให้ฟิลิปปินส์ทั้งหมดคิดเป็น 2.8% ของ IPSTAR) แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ได้เข้าไปรุกตลาดฟิลิปปินส์ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะเหมาะกับการใช้งาน IPSTAR อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า SATTEL ต้องใช้เวลาในการสร้าง Gateway ประมาณ 3 เดือน จึงจะเริ่มเปิดให้บริการและรับรู้รายได้ประมาณต้นปี 2551 ปัจจุบัน IPSTAR เปิดให้บริการแล้วใน 8 ประเทศ ได้แก่ไทย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เวียดนาม พม่า ลาว จีน และกัมพูชา ส่วนในมาเลเซีย กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ การขยายตลาดไปในประเทศต่างๆ เป็นไปตามแผนงานของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ SATTEL แนะนำ ซื้อ Fair value 15.01 บาท บริษัทเปิดเผยว่าได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ TNRI Telecom Incorporation เพื่อดูแลส่วนปฏิบัติการสถานีภาคพื้นดิน (Gateway) สำหรับประเทศฟิลิปปินส์พร้อมทั้งให้บริการ iPSTAR โดยพันธมิตรรายดังกล่าวได้ตกลงที่จะใช้ช่องสัญญาณของดาวเทียม iPSTAR จำนวนกว่า 100 Mbps กับ SATTEL แล้วด้านฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.สินเอเซีย ประเมิน SATTEL ว่า ประเด็นข้อกล่าวหาจากฝ่ายลาวในการขายหุ้น SHEN ออกไป 49% ไม่น่าจะขัดต่อสัญญาสัมปทานของกิจการร่วมค้า LTC เนื่องจากไม่ได้เป็นการขาย LTC ออกไปโดยตรง แต่เป็นการขาย SHEN ออกไป 49% โดย SHEN ยังคงถือหุ้น LTC 49% เหมือนเดิมส่วนความคืบหน้าของ iPSTAR นั้น ล่าสุดได้มีการลงนามกับ บริษัท ไทม์ ดอทคอม เบอร์ฮาร์ด (TIME) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อให้บริการดาวเทียมบอร์ดแบนด์ iPSTAR ซึ่งถึงแม้ตลาดจะเล็กเพียง 6.6% ของ Capacity iPSTAR แต่ก็ทำให้เห็นถึงความคืบหน้าในการเจาะตลาดเฟส 2 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเจาะตลาดเกาหลี และญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขาย UT และ Utilization rate ของ iPSTAR โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญในปี 51 ในขณะที่ตลาดที่เป็นความหวังหลักของ iPSTAR อย่างจีนและอินเดียยังคงล่าช้าต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ปรับประมาณการปี 50 ลง ทำให้ราคาเป้าหมายตามวิธี DCF ลดลงเหลือ 13.20 บาท จาก 13.50 บาท แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” เพื่อลงทุนระยะยาว จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อขาย SHEN ออกไป 49% และยังมีมุมมองที่ดีต่อการเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะตลาดอินเดียซึ่งมีความต้องการรออยู่แล้วทั้งจากภาครัฐและเอกชน ในขณะที่การเข้าเจาะตลาดอื่นก็ยังมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องส่วนสาระสำคัญ คือ ประเด็นข้อกล่าวหาในการขายหุ้น SHEN ออกไป 49% ไม่น่าจะขัดต่อสัญญาสัมปทานของกิจการร่วมค้า LTC: โดยทาง SATTEL ได้ยืนยันถึงการแจ้งการขายหุ้น SHEN ออกไป 49% ให้รัฐบาลลาว รวมถึง ตลท. และผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้วทั้งนี้ ตามสัญญาที่ SATTEL ตกลงกับรัฐบาลลาว ได้กำหนดว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขายหุ้น LTC ต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าก่อนเพื่อใช้สิทธิในการเป็นผู้เสนอซื้อรายแรก หากไม่มีการเสนอซื้อภายใน 60 วันจึงให้บุคคลที่ 3 ซื้อได้ ซึ่งเมื่อดูตามโครงสร้างการถือหุ้น การขายหุ้นดังกล่าวเป็นการขายหุ้น SHEN ออกไป 49% ไม่ได้เป็นการขาย LTC ออกไปโดยตรง โดย SHEN ยังคงถือ LTC 49% ตามเดิม ในขณะที่ SATTEL ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% ใน SHEN เราจึงเห็นว่าไม่น่าจะขัดต่อสัญญาสัมปทาน โดยกระบวนการขายหุ้น SHEN ดังกล่าวได้ผ่านมาแล้วประมาณ 2 เดือนตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. 50 ด้านความคืบหน้าของโครงการ iPSTAR คือ ได้พันธมิตรในมาเลเซียเพื่อให้บริการ iPSTAR โดย SATTEL ได้เข้าลงนามกับ บริษัท ไทม์ ดอทคอม เบอร์ฮาร์ด (TIME) ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อให้บริการดาวเทียมบอร์ดแบนด์ iPSTAR ซึ่ง TIME เป็นผู้ให้บริการทั้งด้านเสียงและข้อมูล รวมถึงอินเทอร์เน็ตบอร์ดแบนด์ และอินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ โดยเป็นผู้ให้บริการบอร์ดแบนด์ไร้สาย (Wireless Broadband Access service) รายแรกในมาเลเซีย โดย SATTEL จะเข้าไปติดตั้ง Gateway ในพื้นที่ของ TIME ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วง 4Q50 จากการได้ TIME มาเป็นพันธมิตรเพื่อให้บริการบอร์ดแบนด์ iPSTAR ในมาเลเซีย คาดว่าจะทำให้สามารถเจาะตลาดรายย่อยได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำในประเทศทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการรายย่อยได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันด้วยความที่เป็นองค์กรกึ่งรัฐวิสาหกิจของ TIME ก็ทำให้มีโอกาสได้งานในโครงการขนาดใหญ่จากหน่วยงานภาครัฐด้วย โดยรัฐบาลมาเลเซียต้องการให้มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้มีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ในแผนงบประมาณประจำปี 2008 ความหวังของ iPSTAR ที่แท้จริงคือจีนและอินเดีย: เนื่องจาก iPSTAR มีการจัดสรร Capacity ให้กับทั้ง 2 ตลาดประมาณ 44% ของ Capacity รวม โดยแบ่งเป็นจีน 26.2% และ อินเดีย 17.5% ซึ่งจากจุดคุ้มทุนของ iPSTAR ที่ระดับ Utilization rate 15% ของ Capacity รวม จึงทำให้เห็นว่าหากตลาดใดตลาดหนึ่งประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้โครงการ iPSTAR ถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น แต่ขณะนี้ตลาดใหญ่ทั้ง 2 ยังมีความล่าช้า โดยในจีนยังติดปัญหาในแง่ของการทำตลาด ซึ่งพันธมิตรที่เป็นผู้ให้บริการดาวเทียม (CHINA SAT) ไม่มีความชำนาญในการทำตลาดรายย่อย จึงจำเป็นต้องหาพันธมิตรที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาช่วยเสริมในการทำตลาด ในขณะที่อินเดียยังไม่สามารถนำ Gateway เข้าไปติดตั้งได้ ทั้งที่มี Landing license แล้ว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีที่เข้ามาดูแลทางด้าน ICT ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจำเป็นต้องมี Space license หรือไม่ ซึ่งจากความล่าช้าของตลาดทั้ง 2 ทำให้รายได้ของ iPSTAR ยังไม่โดดเด่น และยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงในแง่ของผลการตีความของกฤษฎีกาว่าสัญญาสัมปทานดาวเทียมทั้งสัญญาหลักและสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมของ SATTEL ว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ประเด็นดังกล่าวจึงยังกดดันราคาหุ้นอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจน

No comments: