โพสต์ทูเดย์ (5 Oct 2007)
ชินคอร์ปยอมขาดทุน6.5พันล้าน-เอแคปและยักษ์ลีสซิงญี่ปุ่นโดดฮุบ เทมาเซก โละ แคปปิตอล โอเค สำเร็จ ขายหุ้นยกล็อตให้เอแคปและโอริกซ์จากญี่ปุ่นมูลค่า 990 ล้านบาท ชินคอร์ปยอมเจ๊ง 6.5 พันล้านแลก เลิกกะเตงยาว

นายสมประสงค์ กล่าวว่า การซื้อขายบริษัท แคปปิตอล โอเค ครั้งนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 990 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าหุ้นจำนวน 290 ล้านบาท และชินคอร์ปจะได้รับหนี้คืนเต็มจำนวนอีก 700 ล้านบาท ซึ่งผู้ซื้อทั้งสองจะรับผิดชอบทั้งหมด
ทั้งนี้ บริษัท เอแคปฯ จะซื้อหุ้นบริษัท แคปปิตอล โอเค สัดส่วน 50.99% ส่วนกลุ่มโอริกซ์ซื้อสัดส่วน 49%
นายสมประสงค์กล่าวถึงผลประโยชน์ที่คาดว่าชินคอร์ปจะได้รับก็คือ การลดภาระผลขาดทุนจากการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และลดภาระการสนับสนุนเงินทุนแก่ บริษัท แคปปิตอล โอเค ในอนาคต
ด้านนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคปปิตอล โอเค กล่าวว่า สาเหตุที่ขายหุ้นให้กับ 2 บริษัทนี้ เนื่องจากได้รับเงื่อนไขที่ดีที่สุด ซึ่งนอกจากประเด็นเรื่องราคาซื้อขายแล้ว ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อพนักงานของบริษัทด้วย นอกจากนี้โอริกซ์มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้อยู่แล้ว
นายอารักษ์ ระบุว่า ที่ผ่านมาชินคอร์ปใส่เงินทุนให้กับแคปปิตอล โอเค ไปทั้งสิ้น 7.5 พันล้านบาท และมีขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง เดือนละประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้จำนวนมาก “ถามว่า ชินฯ ขายขาดทุนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่ามองในมุมไหน ถ้ามองจากจำนวนเงินที่ใส่ไปก็ขาดทุน แต่หากมองว่าถ้ายังดำเนินธุรกิจต่อไปก็อาจจะขาดทุนมากขึ้น” นายอารักษ์ กล่าว
นายวิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ กล่าวว่า ยังไม่ขอพูดอะไรในตอนนี้ โดยบริษัทจะให้ข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้
“เราซื้อหุ้นใหญ่ในแคปปิตอล โอเค ถือเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท และน่าจะทำให้บริษัทดีขึ้นมาก” นายวิวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ORIX Corporation เริ่มดำเนินกิจการเมื่อปี 2507 ในฐานะผู้นำธุรกิจลีสซิงในญี่ปุ่น และมีสาขาใน 25 ประเทศทั่วโลก โดยเข้ามาตั้ง บริษัท ไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2521 และบริษัท โอริกซ์ ออโต้ ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) ปี 2528
สั่งเด้ง‘บรรณวิทย์’เข้ากรุ ฮึดสู้ใส่หมวกสนช.ลุยต่อ
โพสต์ทูเดย์ (5 Oct 2550)

ย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เข้ากรุพ้นเก้าอี้รองปลัดกลาโหม โดนสองเด้ง ถูกตั้งกรรมการสอบวินัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณจำนวน 2 นาย คือ 1.พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม 2.พล.อ.ทสรฐ เมืองอ่ำ ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 ต.ค. 2550 เป็นต้นไป โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การย้าย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ พ้นตำแหน่งรองปลัดกระทรวง เพราะได้ตักเตือนในที่ประชุมสภากลาโหมให้ยุติวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร แต่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ไม่ยอมยุติการเคลื่อนไหว และใช้สถานะที่เป็น สนช. ออกมาวิจารณ์นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
“ผมถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยทหาร จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ก่อนที่จะสอบสวน ผมมีอำนาจที่จะปรับย้าย ผมไม่อยากให้กองทัพเสียหายไปกว่านี้ โดยจะเป็นการป้องปรามคนอื่นไม่ให้เลียนแบบ ต้องมีการลงโทษทางวินัย ซึ่งมีโทษ อาจมีโทษจำคุกหรือปลดออก ปลดออกมีทั้งมีเบี้ยบำนาญ หรือไม่มี ก็ขึ้นอยู่กับกรรมการสอบสวน” พล.อ.บุญรอด กล่าว
รมว.กลาโหม กล่าวด้วยว่า การกล่าวอ้างสถานะ สนช.ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชานั้น ถ้าเป็นนายทหารนอกราชการคงไม่ไปเกี่ยวข้อง
ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การโยกย้ายเชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย และคงไม่มีปัญหาอะไร
ขณะที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า จะอยู่ตำแหน่งไหนก็ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทั้งนั้น พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า มักจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา
“ไม่จริง ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ผู้บังคับบัญชาเลย” พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ย้ำว่า ในฐานะประธานกรรมาธิการคมนาคม สนช. มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่ เป็นบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ และจะทำต่อไป ซึ่งไม่ใช่บทบาททางทหาร ในสภากับทหารเป็นคนละบทบาท
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิก สนช. กล่าวว่า การย้ายครั้งนี้เป็นประเด็นที่สังคมสนใจ เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
ทรูควงเอชเอสบีซีปั้นไว-ไฟ หวังกวาดลูกค้า1.5แสนราย
โพสต์ทูเดย์ (5 ตุลาคม 2550)
ทรูผ่าทางตัน ไวแมกซ์ยังไม่เกิด ผนึก เอชเอสบีซี โหม ไว-ไฟ ทั้งในและต่างประเทศ หวังขยับฐาน ผู้ใช้เพิ่มเป็น 1.5 แสนรายปีหน้า
นายไพบูลย์ ต.ศิริวานิช ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป ด้านกลุ่มลูกค้าบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ระหว่างที่รอความชัดเจนเรื่องใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายไร้สายความเร็วสูง หรือไวแมกซ์ จากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ทรูได้ จับมือกับธนาคารเอชเอสบีซีให้บริการ ไว-ไฟ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย (ไว-ไฟ) ให้เพิ่มขึ้น
ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ทรูมีฐานผู้ใช้ที่กว้างขึ้น โดยผ่านกลุ่มผู้ใช้บัตรเครดิตเอชเอสบีซีในประเทศไทยกว่า 6 แสนราย ขณะที่ต่างประเทศก็มีสาขาอยู่ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันทรูสามารถให้บริการไว-ไฟ ในต่างประเทศผ่านเครือข่ายโรมมิง 17 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกขึ้นจากการใช้โทรศัพท์มือถือผ่านโครงข่ายไว-ไฟ ในแต่ละประเทศที่มีโรมมิงมือถือกับทางทรู
นอกจากนี้ บริการดังกล่าวยังถือเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชันที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ไว-ไฟ รวมทั้งทำให้บริการนี้ ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย
นายไพบูลย์ กล่าวว่า การรุกขยายบริการไว-ไฟ อย่างต่อเนื่องผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อต้องการ สร้างกลุ่มผู้ใช้งานบริการไว-ไฟ ให้เพิ่มขึ้น เป็นสัดส่วน 20% ของบริการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) หรือประมาณ 1.5 แสนรายในปีหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4 หมื่นราย และ จะเพิ่มเป็น 6 หมื่นรายในสิ้นปีนี้ มีรายได้รวม 100 ล้านบาท
นอกจากนี้ อุปกรณ์การใช้งานที่สามารถรองรับบริการด้านไร้สายที่มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก พีดีเอ หรือโน้ตบุ๊กขนาด เล็ก (อัลตราโมบายพีซี) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไว-ไฟ เริ่มได้รับความสนใจจากผู้ใช้บริการและเติบโตมาก ขึ้น โดยปัจจุบันทรูให้บริการไว-ไฟ กว่า 4 พันจุด ทั้ง กทม.และอีก 50 จังหวัด รองรับจำนวนผู้ใช้บริการได้ 2 แสนราย
ทิ้งบลูชิปหุ้นร่วง กบข.ควักหมื่นล. ขยายลงทุนตปท.
ไทยโพสต์ (5 Oct 2550)
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ต.ค.ยังเคลื่อนไหวผันผวนสลับบวกและลบ โดยดัชนีปิดที่ 848.95 จุด ลดลง 1.63 จุด มูลค่าซื้อขาย 14,593.14 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 906.44 ล้านบาท สถาบันขายุสทธิ 362.28 ล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ 1,169.71 ล้านบาท
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ดัชนีปรับลดลงเป็นผลมาจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ประกอบกับก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับขึ้นมากจึงมีแรงขายทำกำไรออกมา
ส่วนกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยืนยันจะจัดการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.นี้ นักลงทุนรับรู้ข่าวไปแล้วจึงไม่มีผลมากนัก แต่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่สามารถช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนลงได้
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข.เตรียมเพิ่มเงินลงทุนในต่างประเทศอีก 10,000 ล้านบาท ในช่วงปลายปีหรือประมาณไตรมาส 4 ปีนี้ โดยส่วนใหญ่จะเน้นการลงทุนในกลุ่มตราสารทุนเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ กบข.กระจายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 14.5% หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท
ปัจจุบันการลงทุนในต่างประเทศของ กบข.มีเพดานอยู่ที่ 15% และได้มีการลงทุนไปแล้ว 12% หรือ 37,000 ล้านบาท ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิปัจจุบันที่มีประมาณ 365,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ 10.5% หรือ 32,000 ล้านบาท ลงทุนตราสารหนี้ 4% หรือ 13,000 ล้านบาท โดยคาดการณ์ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 6-7% ซึ่ง กบข.ได้มีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารทั่วโลกเพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง.
No comments:
Post a Comment